
" เธอหึงหวงฉันไม่เลือก เคยมองสารรูปเมียตัวเองบ้างหรือเปล่า ว่าทุเรศแค่ไหน ใครเขาจะเอา ! "
"จ๋า" บอกว่า เธอเป็นผู้หญิงวัย 40 ปี รูปร่างผอมแห้ง หน้าตาเครียดโศกเศร้า เพราะความเบื่อหน่ายชีวิตตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมันเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไหนจะต้องทำงานนอกบ้านที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แล้วยังเป็นแม่บ้าน กลับมาบ้านต้องทำงานทุกอย่างในบ้าน เธอแต่งงานมาเกือบ 20 ปี มีลูกวัยรุ่นสองคนที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดจากแม่ นอกจากนั้นยังต้องดูแลปรนนิบัติสามีวัยไล่เลี่ยกัน เขาก็เหมือนผู้ชายไทยทั่วไป ที่ทำแต่งานนอกบ้าน รับผิดชอบส่งเสียเงินทองไม่ไปยุ่งเกี่ยวสร้างปัญหากับใคร ก็ถือว่าตัวเองดีแล้ว เรียกร้องให้เมียต้องคอยใส่ใจดูแลใกล้ชิดไม่ต่างไปจากลูกๆ เรื่องการช่วยเหลือจัดการงานภายในบ้านนั้น เขาถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของสามี ถึงเวลาเข้านอน เธอเหนื่อยล้าจนอยากแต่จะล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป แต่สามีกลับเรียกร้องที่จะให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยไม่สนใจว่าเธอต้องการหรือไม่ หรือไม่พร้อมอย่างไร ที่แย่สำหรับเธอก็คือ เขามีความต้องการทางเพศสูงมาก !

"จ๋า" เล่าไปร้องไห้ไปด้วยความโกรธ เครียด และท้อใจ เธอได้พยายามพูดขอร้องให้เขาลดความต้องการทางเพศลง หรือจะไปหาผู้หญิงที่ไหนก็ได้ แต่เขาไม่ต้องการ เขาบอกเขารักเธอต้องการเธอเพียงคนเดียว และต้องการมาก วันเวลาที่ผ่านไปทำให้ความต้องการของเขาลดน้อยลง แต่นับวัน "จ๋า" กลับเปลี่ยนเป็นความรังเกียจเบื่อและหมดความต้องการไปเฉยๆ เมื่อเขาเรียกร้องเธอ เธอกลับรู้สึกเหมือนเลือดเนื้อและชีวิตกำลังถูกทารุณกรรมจากคนที่เป็นสามี และความต้องการที่จะหย่าจากสามีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากพฤติกรรมที่เล่ามา ได้สะท้อนให้ "จ๋า" ตระหนักว่า โดยความจริงสามีเป็นคนดี เป็นสามีที่ดี รักเดียวใจเดียวมีความรับผิดชอบ แต่ทัศนคติที่เขามีต่องานบ้านว่าจะต้องเป็นความรับผิดชอบของภรรยานั้น คงต้องปรับเปลี่ยน ต้องมีการพูดคุยกันเพื่อชี้ให้เขาเห็นว่า งานบ้านต้องเป็นความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งการดูแลลูกๆ ด้วย ไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของเธอตามลำพัง ไม่เช่นนั้น "จ๋า" ก็ต้องลาออกจากงานมารับภาระหน้าที่ที่บ้านอย่างเดียว ซึ่งผู้หญิงทุกคนที่มีอาชีพอยู่แล้ว ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ก็ไม่ควรลาออก แต่สามีต้องช่วยแบ่งเบาความรับผิดชอบด้วย การที่เขากลับบ้านไม่ทำอะไร ไม่มีการออกกำลังกาย ทำให้จิตใจหมกมุ่นฝักใฝ่แต่เรื่องเพศ และเรียกร้องให้ภรรยาตอบสนอง นอกจากไม่เป็นการแบ่งเบาความทุกข์ยากแล้ว ยังเป็นการตักตวงความสุขจากเรือนร่างภรรยาโดยไม่คำนึงถึงอารมณ์ และความรู้สึกของเธอเรื่องนี้ต้องมีการพูดกันหรือพาเขาไปพบนักจิตวิทยา จิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาแนะนำ ซึ่ง "จ๋า" บอกว่าสามีเธอไม่เคยมีความเชื่อเรื่องการไปพบจิตแพทย์ เขารับราชการตำแหน่งหัวหน้า คิดว่าตัวเองทำดี ถูกต้อง รู้เรื่องทุกอย่างดีแล้ว
กรณีนี้ก็คงเหมือนๆ กับผู้ชายไทยมากมายที่ไม่มีความเชื่อในการไปขอคำปรึกษาแนะนำ หรือมีความไม่กล้าที่จะยอมรับความไม่ปกติของตนเอง โดยเฉพาะลึกๆ แล้วก็รู้ตัวอยู่ว่ากำลังเอาเปรียบภรรยาหรือแสดงความเห็นแก่ตัวอยู่ จึงไม่ต้องการจะให้คนอื่นต้องรับรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของ "จ๋า" ในฐานะผู้ที่ต้องทุกข์กายทุกข์ใจกับพฤติกรรมของสามี ต้องจัดการเจรจาต่อรอง เพื่อรักษาความเป็นครอบครัวเอาไว้ แทนที่จะอดทน จนทนไม่ได้ต้องหย่าจากกัน !

"เบญ" เป็นคนกรุงเทพฯ ส่วนสามีเป็นคนใต้หรือมาจากจังหวัดในภาคใต้ ครอบครัวเป็นคนฐานะปานกลาง ถึงจะไม่ใกล้ชิด ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวสามีเองที่เป็นคนไม่ค่อยพูด โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเธอ เขาพูดนับคำได้ แต่ในกลุ่มเพื่อนฝูงก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายร่าเริงดี คบหาเป็นแฟนกันอยู่สองปี จึงตัดสินใจแต่งงาน และที่ตัดสินใจแต่งงาน ก็เพราะพลาดมีความสัมพันธ์กัน จนเธอตั้งครรภ์จึงต้องแต่งงาน
และตั้งแต่เธอตั้งครรภ์ครั้งนั้นแล้ว เขาก็ไม่เคยยุ่งกับเธออีกเลย ไม่ว่าเธอจะเป็นฝ่ายเข้าโอบกอดเล้าโลม หรือเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เขาจะปฏิเสธทุกครั้งไป เธอก็ไม่เข้าใจพยายามถามว่า " รังเกียจเธอหรือเธอทำอะไรผิดไป ทำไมถึงไม่ต้องการเธอ ? " เขาก็ไม่เคยตอบ ได้แต่บ่ายเบี่ยงและเดินลุกหนีไป

ทำงานด้วยกัน อาจจะต่างคนต่างกลับเพราะเขาทำงานที่ต้องติดต่อลูกค้า จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะกลับไม่ตรงกัน แต่เขาก็ไม่เคยหายไปไหน ไม่เคยสนใจผู้หญิงอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเป็นสามีที่ดี มีความรับผิดชอบดูและครอบครัว เพียงแต่เขาจะไม่สนใจในเรื่องเพศ ในขณะที่ความเยาว์วัยทำให้เธอเร่าร้อนไปด้วยไฟปรารถนา ที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง
มันเป็นความเครียด! เครียด! จนกลายเป็นความ "เกลียด" ในสุดท้าย เพราะถึงจะทำใจได้ ยอมรับว่าเขาไม่ชอบเรื่องนี้ พยายามข่มกายข่มใจไม่ให้เกิดความต้องการ พยายามจะยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น พยายามพูดกับตัวเองเสมอๆ ว่า "เราอยู่กันเหมือนพี่น้องนะ ! แต่ลึกๆ "เบญ" รู้สึกตัวเองไม่มีค่า ไม่น่ารัก ไม่เป็นที่ปรารถนา มันทำให้ตัวเธอเองไม่มีความมั่นใจตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วก็ทำให้ต้องถามตัวเองต่อไปว่า " ทำไมเราต้องทนอยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา ?!?"
ความจริง "เบญ" คิดว่า ถึงหากไม่มีเซ็กซ์กัน อยู่กันอย่างพี่น้องอย่างเพื่อนด้วยสันติก็คงจะไม่มีปัญหามากมายอะไร คือต่างฝ่ายต่างปรับตัวเข้าหากันได้ แต่พฤติกรรมสามีเองก็มีแต่ความเครียด กลับบ้านมาจะต้องหาเรื่องดุด่าว่ากล่าว ส่งเสียงตะโกนตะคอกลูกๆ ที่กำลังซุกซนและจุกจิก ซึ่งไม่จำเป็นที่เขาจะต้องส่งเสียงดังขนาดนั้น เธอเองก็เครียด แต่ไม่เคยระบายออกกับลูก แต่เขากลับไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย มันทำให้เธอหงุดหงิดอารมณ์เสียไปด้วย
เพราะฉะนั้นแทนที่จะอยู่กันอย่างเงียบๆ สงบๆ ความเครียดของเขา จะด้วยจากสาเหตุอะไรเธอไม่รู้ แต่ก็ทำให้เธอพลอยเครียดเพิ่มขึ้นไปด้วย และเมื่ออยู่ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเครียด ลูกๆ ก็สัมผัสถึงความเครียดนี้ แล้วก็พลอยเครียดกันไปหมดทั้งบ้าน ทำให้ "เบญ" ต้องถามตัวเองว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้ และมันมีสาเหตุมาจากอะไรซึ่งก็สรุปได้ว่า นอกจากเขาจะไม่มีความสนใจเรื่องเพศ ไม่ได้ทำหน้าที่สามีทางพฤตินัยแล้ว เขายังนำความเครียดของเขามาระบายกับลูกเมีย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเครียดของเธอที่มีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว และนับวันเขาจะทำให้เด็กๆ มีปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น !
ถ้ามองจากสายตาคนนอกแล้ว ทุกคนจะคิดว่า เธอโชคดีมีครอบครัวที่ดูสมบูรณ์แบบไปหมด แต่ความจริงมันปั่นป่วนเหมือนคลื่นใต้น้ำที่รอวันปะทุขึ้นมา เธอเองสัมผัสถึงปัญหาที่ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเดินข้ามอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้าไปถึงกันได้ เธอไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรกับผู้ชายคนนี้ หรือเขามีปัญหาอะไร เขาต้องการอะไร เพราะเขาไม่เคยพูด ทั้งๆ ที่เธอพยายามซักถาม และพยายามจะหาทางเข้าไปถึงเขา แต่การปฏิเสธไม่ยอมพูดถึงอารมณ์และความรู้สึกของเขาเอง ทำให้กลายเป็นความเครียดที่ "เบญ" รู้สึกว่าไม่อยากทนต่อไป และทั้งๆ ที่เธอเองก็ไม่มีชายอื่น แต่เธอก็ไม่นึกอยากจะอยู่กับเขาต่อไป !
ทุกวันนี้ ทุกครั้งที่มองไปที่สามี เธอรู้สึกหมือนเขาเป็นกระจกที่สะท้อนภาพความไม่เป็นที่ปรารถนาของตัวเธอเอง ความไม่ใส่ใจสนใจอะไรที่เกี่ยวกับตัวเธอเลย มันทำให้เธอรู้สึกเกลียดภาพตรงหน้า แล้วเธอก็อยากจะทำลายกระจกบานนั้นเสีย เพื่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นตัวเองเป็นคนมีปัญหาอีกต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะคำพูดและคำอธิบายของ "เบญ" ทำให้เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงมีการศึกษา มีสติปัญญา และมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารได้อย่างดี แต่คู่กรณีของเธอกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการที่จะสื่อกับเธอให้รู้เรื่องได้เลย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะคำพูดและคำอธิบายของ "เบญ" ทำให้เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงมีการศึกษา มีสติปัญญา และมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารได้อย่างดี แต่คู่กรณีของเธอกลับเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการที่จะสื่อกับเธอให้รู้เรื่องได้เลย
ที่สำคัญ เขาไม่ต้องการจะเปิดเผยทัศนคติ และความเชื่อของเขาออกมาให้คนหนึ่งคนได้รับรู้ โดยเฉพาะการที่เขาควรจะไปพบจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเพศ เช่นที่ "ชมรมเพศศาสตร์ศึกษา" ซึ่งจะช่วยให้ผู้มีปัญหาลักษณะนี้สามารถตรวจสอบ และมองเห็นพฤติกรรมตนเองมากขึ้น และเป็นการช่วยให้ได้มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความสุขทางครอบครัวทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไป
ทั้งนี้หากจะวิเคราะห์ไป ว่าฝ่ายชายอาจมีทัศนคติและความเชื่อในเรื่องเพศอย่างผิดๆ หรือหัวใจของเขาอาจไม่ได้มีความรักให้กับภรรยาเลย หรือเขามีปัญหาทางจิตใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งการวิเคราะห์โดยผู้มีปัญหาไม่ได้ไปพูดคุย ซักถามได้โดยตรงก็อาจเป็นการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ "เบญ" จะต้องพยายามที่จะชักนำสามีให้ไปรับการบำบัด หรือได้มีการพูดคุยกับจิตแพทย์โดยตรง
เช่นเดียวกับกรณีที่สามีมีความต้องการทางเพศสูง จนไม่สนใจว่าภรรยาจะรู้สึกหรือสามารถตอบสนองทางเพศได้เพียงใด การที่สามีหมกมุ่นอยู่แต่ความต้องการของตัวเอง หรือความไม่ต้องการของตัวเอง จนทำให้ภรรยามีความทุกข์ หรือมีปัญหาเกิดขึ้นในการ ดำเนินชีวิตร่วมกัน ทั้งคู่ก็ควรแสวงหาทางออกร่วมกัน โดยปรึกษานักวิชาชีพและผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ให้ช่วยแก้ไข
สมัยนี้ เป็นความเชื่อที่ล้าสมัยเกินไปถ้าเห็นว่า การไปพบนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ เป็นเรื่องไม่จำเป็น ความจริงแล้วจำเป็น
ที่มา : อรอนงค์ อินทรจิตร และ นรินทร์ กรินชัย
No comments:
Post a Comment